วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กินดีมีประโยชน์

อาหาร คือ สิ่งที่เรากินได้โดยปลอดภัยและให้สารอาหารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงมีการแบ่งอาหารออกเป็น5 หมู่ เรียกว่า อาหารหลัก 5 หมู่ ได้แก่
หมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นมหมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง น้ำตาล หัวเผือก มันหมู่ที่ 3 ผักใบเขียวและพืชผักอื่นๆหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆหมู่ที่ 5 ไขมันจากสัตว์และพืช
อาหารหมู่ที่ 1 เสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น หมู วัว เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง เครื่องใน เช่น ตับ ปอด หัวใจ ไข่ต่างๆ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่นก ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสงและอาหารที่ทำจากถั่ว นม และผลิตภัณฑ์จากนม ประโยชน์ ช่วยเสริมร้างและซ่อมแซมร่างกาย อาหารทะเลช่วยป้องกันโรคคอพอก เครื่องในเช่น ตับ สร้างและบำรุงโลหิต นมช่วยสร้างกระดูกและฟัน เด็กอยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการอาหารหมู่นี้มาก
อาหารหมู่ที่ 2 ให้พลังงาน ได้แก่ ข้าวต่างๆ เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว แป้งต่างๆ เช่นแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลังและอาหารที่ทำจากแป้ง เช่น ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปัง หัวเผือก มันต่างๆ ประโยชน์ ให้กำลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้มีแรงเคลื่อนไหวทำงานได
อาหารหมู่ที่ 3 ควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติได้แก่ ผักใบเขียวและผักเป็นหัวต่างๆ เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ฟักทอง กระหล่ำหลี มะเขือต่างๆ ประโยชน์ บำรุงสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง บำรุงสุขภาพของผิวหนัง นัยน์ตา เหงือกและฟัน สร้างและบำรุงโลหิต ช่วยให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากอาหารอื่นได้เต็มที่ และมีเส้นใยเป็นกากช่วยให้การขับถ่ายสะดวก
อาหารหมู่ที่ 4 ควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติได้แก่ ผลไม้สดต่างๆ เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม มะม่วง ฝรั่ง สับปะรด ประโยชน์ ช่วยบำรุงสุขภาพและป้องกันโรคต่างๆ ช่วยให้ร่างกายสดชื่น บำรุงสุขภาพของผิวหนัง นัยน์ตา เหงือกและฟัน
อาหารหมู่ที่ 5 ให้พลังงานได้แก่ ไขมันจากสัตว์ เช่น มันหมู มันไก่ ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่ว น้ำมันรา น้ำมันงา กะทิ ประโยชน์ อาหารหมู่นี้ให้กำลังงานสูงและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้มีกำลังเคลื่อนไหวทำงานได้
เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเราต้องกินอาหารต่างๆ ให้ครบ 5 หมู่ ให้ได้สัดส่วนเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายอาหารหมู่ต่างๆ นี้จะกินทดแทนกันไม่ได้ นอกจากจะกินอาหารหมู่เดียวกันทดแทนกันเท่านั้น การรับประทานอาหารเพียงอย่างสองอย่างหรือรับประทานอาหารเฉพาะที่ตนเองชอบเป็นเวลานานๆ จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารอื่นๆ ไปด้วย ดังนั้น การรู้จักเลือกกินอาหารให้ถูกส่วนครบ 5 หมู่ ดังกล่าวนี้จึงเรียกได้ว่ากินอาหารถูกหลักโภชนาการ

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

วันชาติฝรั่งเศสคร้าาา


ค้า....วันนี้ไหนๆก้อมาอัพละ ตามกระแสนิดนึงๆ วันที่ 14 กค. ของทุกๆ ปีเนี่ยเป็นวันชาติฝรั่งเศส แหมสบายเราไม่ต้องไปเรียน 555 แบบว่า นอนตื่นซะสายแต่ก้อทันดูถ่ายทอดสดการฉลองงานวันชาติที่ Champs Elyseé ณ ปารีสอยู่ ดูไป ดูมาก้อคล้ายๆวันพ่อบ้านเราแหละ เนี่ยนะเท่าที่ดูบ้านเราดูดีกว่าเยอะนะ ก้อแหมมม บ้านเรานะมีพระเจ้าอยู่หัวให้เคารพ บ้านเค้าเนี่ย เคารพธงชาติเวลาเพลงชาติออก แต่ก้อว่าไม่ได้เค้าไม่มี king อีกอย่างเนี่ยมันก้อน่าเคารพนะธงชาติบ้านเค้าเนี่ย ก้อสีทุกสีที่มีอยู่ในธงชาติฝรั่งเศสเนี่ยล้วนมีความหมายอันลึกซึ้งแฝงอยู่ คนไหนที่เรียนมาก้อจะรู้ว่ามันสุดยอด ไอ่เราก้อเรียนนะแต่ก้อลืมไปหมด เมื่อวานที่โรงเรียนเลยรื้อฟิ้นให้เลย ก้ออย่างที่รู้ๆกันนะว่า ธงชาติบ้านเค้าสีเหมือนบ้านเราเดี๊ยะๆ น้ำเงิน ขาว และ แดง โดยที่สี น้ำเงินกะแดงเป็นสีที่บ่งบอกความเป็นเมืองหลวงแห่งกรุง ปารีส แต่สีแดงเนี่ย เมื่อก่อนเค้าก้อยกให้เป็นสีแห่งนักปฎิวัติฝรั่งเศสก่อนที่จะมาเปลี่ยนนัยแฝงกันภายหลัง ส่วนสีขาวเนี่ยเป็นสีขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งสีขาวเนี่ยนะยังสื่อให้ผู้คนระลึกถึงจำนวนผู้คนบริสุทธิ์ที่ถูกประหารโดยเครื่องประหารกิโยติล ( Guillontine) ในยุครุ่งโรจน์ของเจ้าใหญ่นายโตทั้งหลายเมื่อปี 1793 นู้นนนนแหละ แหมมม อ่ะนะจะให้มานั่งเจียระไนสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสแต่ละตัวเนี่ยคง 3 วันรวดแหละ เอาเป็นว่า พอรู้ว่า ธงบ้านเค้าเนี่ยไม่ได้หลับตาเลือกๆไปงั้นๆ ถึงกะอึ้งๆๆอ่ะนะไหนๆก้อยาวมาเรื่องธงชาติละ พูดก้อพูดเถอะเมื่อวานเค้าถามว่าที่เมืองไทยเนี่ยวันชาติวันไหนอ่ะ เออ... เด็กยองก้ออ้ำอี้งไม่ใช่ไม่รู้นะแต่ไม่แน่ใจอ่ะ ระหว่างวันพ่อ กะวันรัฐธรรมนูญ เอาล่ะสิเข้าตาจน เอาก้อเอาวะ วันพ่อเนี่ยแหละ เพราะเห็นมีทหารทุกเหล่าทัพมา แหมก้อวันรัฐธรรมนูญไม่มีไรเลยอ่ะ รึเราไม่รู้อ่ะ เอาเป็นว่า แก้หน้าไปพลางๆก้อต้องอธิบายยืดยาวด้วยอ่ะ แหมน้อง ๆพรีเซนต์อ่ะ ว่าก้อว่าเถอะมาเห็นประวัติวันชาติฝรั่งเศสแล้วมันน่าขนลุก ก้อแหมนะกว่าจะได้อิสระเสรีมาเนี่ยก้อผ่านอะไรมาเยอะมากกกก คนเค้าสมัยก่อนเนี่ยสุดยอดเจ๋งจริงๆอ่ะ อ่ะไหนๆก้อไหนๆ เมาท์เรื่องในอดีตหน่อย ก้อแหมจากที่มีลุงๆนักปราชญ์บวกนักคิดทั้งหลายเกิดขึ่น ชาวบ้านชาวเมืองแถบๆเมืองผู้ดีก้อตื่นตัวเรื่องอิสระภาพและทำการปฏิวัติบ้านเมืองเค้าเป็นที่เรียบร้อย ชาวบ้านชาวเมืองชาวฝรั่งเศสก้อมานั่งคิดๆว่า ตูจะทำงั้นมั้งไม่ได้เลยเหรอฟระ แม่งไอ่เจ้าขุนมูลนายก้อกดขี่กูซะไม่พอฆ่าคนเหมือนผักปลา เอาเปรียบสาระพัด เอาไงดีฟระ... ในช่วงรอยต่อเนี่ยแหละ ถูกแรงหนับหนุนจาก ลุงวอร์แตร์ ลุงรุสโซ ที่บอกว่า มนุษย์ทุกนายที่เกิดมาเนี่ยมันเท่าเทียมก้านนน เอาล่ะสิขนาดนักปราชญ์ที่เปรียบเสมือน นักวิชาการระดับสูงออกมาประกาศโทงๆเงี้ย อยู่เฉยได้ไง เอาวะเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายเรามาปฏิวัติบ้านเมืองเรากัน การปฏิวัติจึงเริ่มขึ้นที่ นครปารีส ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1789 โดย ณ ตอนนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ปกครองอยู่ และกำลังเลือกเหล่าทหารกล้ามาประจำการในจำนวนที่เพิ่มขี้น แต่ในเช้าวันที่ 14 กค.1789 ก้อมีเหตุการณ์เขย่าขวัญพระเจ้าหลุยส์ขี้น เมื่อคุกไฮโซบาสติลย์ ( La Prise De La Bastille) (ที่ว่าไฮโซเนี่ยก้อเล่นขังแต่พวกหัวกะทิอ่ะนะ) เกิดแตกขี้น ด้วยแรงกดดันมหาศาล ชาวบ้านชาวเมืองเลยเกิดลุกสู้ บทสรุปคือคนหมู่มากต้องชนะเด่ ก้อชาวบ้านมีตั้งเท่าไหร่ แล้วเค้าก้อพากันเดินตามถนน Champs de Mars ก้อ Champs Elyseé เนี่ยแหละถูกสร้างเพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนใจ และก้อได้ประกาศคำ 3 คำขี้นมาว่า นับแต่นี้ไป ฝรั่งเศสจะมีแต่ " Liberté, Egalité, Fraternité" หรือ "เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาค" วู้...............เกิดขึ้น ระบบเจ้าขุนมูลนาย พระมหากษัตริย์ก้อยุติลงด้วยประการฉะนี้แล เห็นเงี้ยนะมิน่าเค้าชาตินิยมอ่ะ ก้อแหมมันก้อ ฝีมือล้วนๆไม่พอสร้างนัยแฝงทุกอย่างเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนทุกหมู่เหล่าซึมซับ ความหาญกล้าของคนในอดีต และกว่าจะเป็นฝรั่งเศส เห็นงี้แล้วเสียดายบ้านเราอ่ะ ได้ซักครี่งเนี่ยสุดยอด ไม่พอนะเค้าก้อสัญลักษณ์ของชนะและอิสรภาพผ่านทางภาพวาดของสาวสวยยืนบนหนุ่มๆ และถือธงชาติฝรั่งเศส ซึ่งถูกเรียกว่า " Marianne" แหมมม เล่นเอาซึ้งงงงง ไม่ให้ซึ้งได้ไงหล่ะ ที่ไหนๆเค้าก้อให้ผู้ชายเป็น พระเอก แหมก้อที่นี่แหละ นางเอกตลอดกาล แถมยืนบนกองผู้ชายด้วยย แหมมม อ่ะนะตอนนี้เลยเป็นว่า ป้ามาเรียเนี่ยสิงสถิตอยู่ทุกที่ไม่ว่าเป็นแสตป์ เหรียญ รูปปั้น และอื่นๆ วกกลับมาการเฉลิมฉลอง เค้าจะจุดพลุฉลองกันคืนก่อนวันที่ 14 แหมมีรีจะพลาด ไอ่เราก้อไปแจมดูบ้านเค้าเมืองเค้า ขอบอกว่างามมากกกกกก 20 นาที พลุแปดแสนอย่าง โอ้วววว ลอยกระทงก้อลอยกระทงเหอะ เจออลังเงี้ย จ๋อยอ่ะ แหมนะจะว่าไปนะบ้านเราก้อใช่ย่อยซะที่ไหน เราก้อไม่ใช่ขี้เรื่องการปฏิวัติไรเนี่ย เสียอย่างเดียวเราไม่ปลูกฝังลูกหลานตั้งแต่เด็ก แต่ก้อนะไม่มีอะไรสายเกินแก้ ถ้าเริ่มวันนี้ อิอิอิ แหมจบดีกว่า แบบว่า ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คิดอยู่ใครจะมาอ่านของตูฟระ

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551


ครัวซองร้อนๆๆมาฝากค่ะ


ไม่ได้ทำเอง แต่แปลมาให้นะคะ ภาษาอาจจะไม่สวยงามเหมือนนักแปลทั่วไป ต้องขออภัยด้วยนะคะ เพราะนู๋กี้ไม่ใช่นักแปลค่ะแค่มือสมัครเล่น เห็นสูตรอาหารฝรั่งที่ หลายเวปแจกฟรี นู๋กี้ก็อยากแปลมาฝากเพื่อนๆๆเด็กอิ้ง-ฟร็องเซ่ค่ะ จะให้ทำทุกเมนูนู๋กี้คงทำไม่ไหว ก็เลยถือโอกาสมีแปลให้เพื่อนๆๆค่ะ และเป็นการฝึกภาษาอังกฤษของตัวเองไปในตัวค่ะ


ส่วนผสม



1. แป้งทำขนมปัง 1 กก.

2. เนยไม่เค็ม 450 กรัม

3. เกลือหยิบมือ

4. น้ำเปล่า ผสมนม 570 มล.

5. easy bake yeast 2 ซอง

6. ไข่ 1 ฟองสำหรับทำก่อนอบ



วิธีทำ



1. เตาอบ 200C/400F/Gas 6.


2. ร่อนแป้งใส่ถ้วยใบใหญ่,ตัดเนยเป็นชิ้นเล็ก และใส่เกลือ,ใส่ยีสต์ผสมกับน้ำและนม ผสมให้เข้ากัน นวดแป้งโดว์ ก่อนนวดต้องแป้งโรยก่อน เพราะจะเหนียวมาก


3.นวดแป้งใช้ไม้ คลึงแป้งออกมา ขนาด 30คูณ 20 ซม หรือ 12 คูณ 18 นิ้ว.แล้วพับแป้งเข้ามากัน พับ 3 รอบ หรือ 3 ชั้นนั่นเองค่ะ หลังจากนั้นใส่ถุงพลาสติก มัดให้แน่น พักแป้งไว้ 30 นาทีค่ะ และคลึงแป้งเหมือนเดิม ทำแบบเดิม และใส่ถุงพลาสติกพักไว้ 30 นาที และทำอีกครั้ง ใส่ถุง มัดให้แน่นแช่ตู้เย็น 1 ชม.


4.เอาแป้งออกจากตู้เย็น และคลึงใหัได้ขนาด 50 คูณ 30 ซม.หรือ 24 คุณ12 นิ้ว ตัดแป้งเป็นสองส่วน และ แต่ละส่วนตัวดให้เป็นชิ้นเล็ก ได้ 12 ชิ้น (ตัดเป็นสามเหลี่ยม) ม้วนจากฐาน จนมาถึงปลาย วางที่ถาดอบ ใช้ไข่ ทาให้ทั่วตัวครัวซอง เข้าเอา 20 นาทีหรือจนเหลืองทอง



และนี่ก้อคือการทำครัวซองค่ะ ถ้าเพื่อนๆคนไหนก้อตามที่ว่างก้อน่าจะลองทำกินที่บ้านกันนะคะ




วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ช็อคโกแลต หวานๆ ขมๆ ผสมทั้งประโยชน์-โทษ

"ช็อคโกแลต" ของหวานยอดนิยมตลอดปีไม่มีตกยุค โดยเฉพาะเทศกาลแห่งความสุขทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ หรือวาเลนไทน์ ใครๆ ต่างก็นิยมลิ้มรสหอมละมุนหวานละไมของช็อคโกแลตเป็นการใหญ่ แม้ความขมของโกโก้ที่ซ่อนอยู่ในความหวานของช็อคโกแล็ตมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราอยู่ไม่น้อย แต่หากบริโภคอย่างไม่บันยะบันยังส่งผลร้ายให้ร่างกายก็เป็นได้ เทศกาลแห่งความสุขเริ่มขึ้นทีไร สารพัด "ช็อคโกแลต" ต้องเข้าไปมีเอี่ยวด้วยทุกที แต่เพราะความหวานจับจิตของน้ำตาลและความมันเนยของนมที่ผสมผสานกับโกโก้ ทำให้หลายคนพรั่นพรึงกับโรคอ้วนมากกว่าจะนึกถึงคุณประโยชน์อื่นที่ซุกซ่อนอยู่ในช็อคโกแลต ซึ่งนักวิทยาหลายสำนักที่สนใจค้นหาความลับของช็อคโกแลตก็พบว่าในขนมหวานสีน้ำตาลดำชนิดนี้มีคุณค่านานาแฝงอยู่ในความอร่อยสุดลึกล้ำ เมล็ดโกโก้ (cacao) เป็นส่วนประกอบหลักที่ถูกปรุงแต่งด้วยนม น้ำตาล และส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในรสชาติให้กับนานาช็อคโกแลต แต่ที่รู้จักกันดีก็มีช็อคโกแลตนม (milk chocolate) หวานมันกลมกล่อม, ช็อคโกแลตดำ (dark chocolate) เข้มเต็มรสชาติโกโก้ และ ช็อคโกแลตขาว (white chocolate) ที่มีแต่โกโก้บัตเตอร์ (cocoa butter) หรือไขมันโกโก้ แต่ไม่มีเนื้อโกโก้ (cocoa solids) นอกจากรสชาติหอมหวานชวนลิ้มลองแล้ว ช็อคโกแลตยังมีเสน่ดึงดูดเหล่านักวิจัยให้ค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอร่อยนี้มานานนับพันปี ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่มากมายในเมล็ดโกโก้ เป็นยาวิเศษขนานหนึ่งที่ทำให้คนที่กินช็อคโกแลตอยู่ห่างไกลจากโรคหัวใจและมะเร็งได้ ซึ่งศาสตราจารย์โรเจอร์ คอร์เดอร์ (Roger Corder) นักวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ วิจัยแล้วพบว่าในช็อคโกแลตดำมีสารโกโก้ฟาโวนอยด์ (cocoa flavonoids) สูงกว่าช็อคโกแลตอื่นๆ สารโกโก้ฟาโวนอยด์ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดให้ยืดหยุ่นและแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน ความดันโลหิตสูง และหัวใจวาย นอกจากนี้ในช็อคโกแลตยังอุดมด้วยกรดอะมิโนทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งใครก็ตามที่กินช็อคโกแลตเข้าไป ทริปโตแฟนจะไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข "เซโรโทนิน" (serotonin) ออกมาละลายความตึงเครียดให้มลายหายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกสุขสดชื่น งานวิจัยของศาสตราจารย์คาร์ล คีน (Prof. Carl Keen) และคณะจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในเมืองดาวิส (University of California at Davis) สหรัฐฯ ทดลองให้อาสามัคร 30 คน ดื่มเครื่องดื่มทุกชนิด ได้แก่ น้ำ, โก้โก้ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน โดยดื่มครั้งละ 1 ชนิด ในช่วงเวลาต่างกันตามที่กำหนด และต้องเจาะเลือดออกมาตรวจทุกครั้งทั้งก่อนและหลังดื่ม พบว่าทุกครั้งหลังจากดื่มโกโก้ เกร็ดเลือด (Platelet) ของอาสาสมัครทุกคนจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนน้อยกว่าเมื่อดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนชนิดอื่น แสดงว่าโกโก้สามารถป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มจนทำให้เส้นเลือดตีบตัน จึงช่วยลดภาวะเส้นเลือดอุดตันและสดความเสี่ยงหัวใจวายกระทันหันได้ ส่วน ดร.ไบรอัน เราเดนบุช (Dr. Bryan Raudenbush) จากมหาวิทยาลัยวีลลิง เยซูอิต (Wheeling Jesuit University) เวสต์ เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ เปิดเผยความลับของช็อคโกแลตว่าเป็นแหล่งของสารกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่กินชอคโกแลตเข้าไป เช่น ทีโอโบรมีน (theobromine), ฟีนีไทลามีน (phenethylamine) และคาเฟอีน (caffeine) ดร.เราเดนบุช ทดลองใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วัดการสั่งงานของสมองและทดสอบปฏิกิริยาต่างๆ ของอาสาสมัครที่กินช็อคโกแลตดำ, ช็อคโกแลตนม เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้กินอะไรเลย ก็พบว่ากลุ่มที่กินช็อคโกแลตมีปฏิกิริยาตอบสนองดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่มที่กินช็อคโกแลตนมจะตอบสนองในส่วนของความจำได้ดีกว่ากลุ่มอื่น นี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของงานวิจัยมากมายที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของช็อคโกแลต และคงทำให้หลายคนที่พิศมัยในความหอมหวานของช็อคโกแลตรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าขนมหวานสุดโปรดปรานนี้ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยอย่างเดียว แต่ยังมากคุณค่าของสารสำคัญที่มีประโยนช์ต่อร่างกายและป้องกันโรคภัยหลากชนิด แต่ช้าก่อน! อย่าเพิ่งด่วนดีใจจนโหมกินช็อคโกแลตต่างข้าวเด็ดขาด เพราะช็อคโกแลตที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะถูกหรือแพง ล้วนมีไขมันและน้ำตาลเป็นตัวชูโรงร่วมกันกับโกโก้ ซึ่งหากบริโภคอย่างไม่มีขีดจำกัด มีหวังประโยชน์ของช็อคโกแลตคงจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นโทษเสียมากกว่า เพราะไขมันและน้ำตาลที่ช่วยเพิ่มความอร่อยในช็อคโกแลตอาจกลายเป็นส่วนเกินเมื่อเข้ามาอยู่ในร่างกายของเราดังที่ทราบกันดีว่าจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ทดลองให้กลุ่มบุคคลที่แข็งแรงแต่สูบบุหรี่กินช็อคโกแลตต่างชนิดกันเป็นประจำทุกวัน วันละ 40 กรัม ติดต่อกันในระยะเวลาที่กำหนด และควบคุมไม่ให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอาหารอื่นๆเลย กลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตัน แต่ภายหลังการทดลองทีมวิจัยพบว่ากลุ่มที่กินช็อคโกแลตดำ ซึ่งมีเนื้อโกโก้อยู่ 74% มีระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ส่วนกลุ่มที่กินช็อคโกแลตขาวกลับไม่มีผลอันใดเลย พวกเขาจึงสรุปว่า กินช็อคโกแลตดำวันละนิดช่วยให้จิตผ่องใสและห่างไกลจากโรคภัยได้ ดังนั้น หากจะกินช็อคโกแลตแล้วให้ได้ประโยชน์มากกว่าโทษ ก็ควรจะเลือกช็อคโกแลตที่มีส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลต่ำแต่มีปริมาณโกโก้สูง นัยหนึ่งก็หมายถึง "ช็อคโกแลตดำ" นั่นเอง ซึ่งปริมาณโกโก้มากกว่าเป็นเครื่องการันตีว่าจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่าด้วย โดยเฉพาะฟลาโวนอยด์ที่มีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ถ้ากินช็อคโกแลตดำวันละ 100 กรัม เป็นประจำทุกวัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้ แต่หากเป็นช็อคโกแลตนม ช็อคโกแลตขาว หรือเครื่องดื่มช็อคโกแลตดำแต่มีส่วนผสมของนมอยู่ด้วย จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพลดน้อยลงตามส่วนผสมของโกโก้ที่ลดลงหรือนมและน้ำตาลที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยอัลคาไล (alkali) สารฟลาโวนอยด์ส่วนใหญ่ก็จะถูกทำลายไปด้วย แม้ว่าในช็อคโกแลตจะอุดมไปด้วยไขมัน แต่ 2 ใน 3 ของไขมันที่มีอยู่ในช็อคโกแลตเป็นไขมันอิ่มตัวที่เรียกว่า สเตียริก (stearic acid) และไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งชนิดโอเลอิก (oleic acid) ซึ่งสเตียริกนี้จะไม่ไปช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL cholesterol) ในกระแสเลือด ฉะนั้นจึงหมดห่วงไปได้อีกเปราะหนึ่ง แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีไขมันอีก 1 ส่วนที่อาจไม่เป็นผลดีกับร่างกาย ดังนั้นเมื่อกินช็อคโกแลตแล้วก็ต้องกินอาหารอื่นที่มีประโยชน์ สามารถลดการสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีได้ รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมกันให้ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ




ขอโทดไว้ก่อนนะคะคือแบบว่าลืมอัพอ่ะ พอดีติดงานกีฬาสี และพอจบแล้วเราก้อมาอัพให้เพื่อนๆรุ๊สูตรความงามกันอีกแล้ว










หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ










แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี




แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก




แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น




แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น




แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น




แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด




แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551

โยเกิร์ตมีประโยชน์อย่างไร ?








คุณ เคนอิชิ โฮโจ และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสึรูมิ ในเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการวิจัยและ พบว่า แบคทีเรียที่อยู่ในโยเกิร์ต โดยเฉพาะแบคทีเรียชนิด Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus อาจมีผลต่อแบคทีเรียที่ เป็นเหตุให้เกิดกลิ่นเหม็นในปาก ของคนเราได้ โดยจากการทดลองพบว่า การกินโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวัน วันละ 6 ออนซ์ (ประมาณ 1 ถ้วย) จะช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในปาก อย่างเช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ นอกจากนี้ ในบรรดาผู้ที่ชอบกินโยเกิร์ตนั้น มักจะมีปริมาณคราบแบคทีเรียบนผิวฟัน (plaque) และอาการของโรคเหงืออักเสบน้อยกว่าคนทั่วไป แม้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีการวิจัยมากกว่านี้เพื่อยืนยันผลที่ได้ แต่นักวิจัยก็อ้างว่า การกินโยเกิร์ตน่าจะเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยในการป้องกันปากเหม็น ข้อมูลเพิ่มเติมสุขภาพดีด้วยโยเกิร์ตแหล่งพลังงานจากนม นม ๆ ปัจจุบันนี้นมถูกปรับเปลี่ยนไปใช้ในรูปแบบที่ต้องการ ทั้งในด้านการบริโภค อุปโภค จนกระทั้งปัจจุบันนี้ถูกปรับมาเป็นเครื่องสำอาง เพราะในตัวของน้ำนมอุดมไปด้วยต่างๆ มากมายในตัวของนม โดยถ้าพูดไปแล้ว โยเกิร์ตก็คือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ จนน้ำตาลแลกโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก ทำให้นมมีรสเปรี้ยวและมีความข้นขึ้นจนเป็นลิ่ม การกินโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยให้ลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ช่วยแก้อาการท้องเสียเรื้อรังได้ ซึ่งในการกินโยเกิร์ตนั้นให้สารอาหารครบถ้วนเหมือนการดื่มนม แต่ไม่ทำให้ท้องเสียเหมือนที่บางคนมักเป็นเวลาดื่มนม นอกจากนั้นโยเกิร์ตยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างสารแอนติบอดี้ และเพิ่มปริมาณสารอินเฟอร์รอน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค โดยในตัวของโยเกิร์ตยังมีสารไขมันธรรมชาติมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน ที่เรียกว่าพรอสตาแกลนดิน อี 2 (Prostaglandin E2) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยปกป้องผนังกระเพาะจากสารกระตุ้นต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์และบุหรี่ เพราะฉะนั้น แทนที่จะปล่อยให้ท้องว่าง ก็กินโยเกิร์ตรองท้องสักถ้วยก็คงดี และ การกินโยเกิร์ตยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็งบริเวณเนื้อเยื่อกระดูก และช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งได้อีกด้วย ปิดท้ายด้วยการแถม สูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตให้กับสาวๆ ขั้นแรกล้างหน้าให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง แล้วนำโยเกิร์ตชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลึงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับรองผิวหน้าจะเปล่งปลั่งสดใสแน่นอน โยเกริ์ตถึงจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมแต่ยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารเพียบที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสมอง