วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

คิตตี้ที่รัก



ประวัติKittyและเพื่อนๆ







ประวัติคิตตี้และเพื่อนๆ





~*Kitty*~



วันเกิด 1 พฤศจิกายน (1974)

สถานที่เกิด ชานเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ที่อยู่ Kitty
อาศัยที่บ้านสีขาวหลังคาแดง ห่างจากตัวเมืองลอนดอน
20 กิโลเมตร ในเมืองที่ไม่มีใครทราบชื่อซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 ชีวิต คุณสามารถเดินทางไปยังเมืองแห่งนี้ได้
ภายใน 20 นาทีโดยรถยนต์ หรือ 30 นาทีโดยรถเมล์

***ส่วน : น้ำหนักเท่ากับแอ๊ปเปิ้ล 3 ผล สูงเท่ากับแอ๊ปเปิ้ล 5 ผล

กรุ๊ปเลือด :A (Negative)

ราศี :พิจิก

สีที่ชอบ : แดง,ชมพู

อาหารโปรด : พายแอ๊ปเปิ้ลฝีมือคุณแม่ ฮ็อทเค้ก พุดดิ้งและของหวานทั้งหลาย เช่น ลูกกวาด เป็นต้น

วิชาโปรด: ดนตรีและภาษาอังกฤษ

สิ่งที่ชอบ : ของชิ้นเล็กๆน่ารักๆเหมือนตัวเธอนั่นเอง เธอสะสมดาวดวงเล็กๆ ปลาทองตัวน้อย เหรียญเงินและริบบิ้นมากมาย นอกจากนี้เธอยังชอบไปเที่ยวเล่นตามสาธารณะหรือในป่ากับเพื่อนๆอยู่เสมอ หากมีเวลาว่าง Kitty มักจะตรงดิ่งไปยังร้านลูกกวาดเสมอ เธอชอบลูกกวาดมากๆเลยล่ะ !

จุดเด่น : สิ่งที่ทำให้ทุกๆคนจดจำ Kitty ได้เสมอก็คือริบบิ้นสีแดงที่หูซ้าย
ของเธอและปุยหางอันฟูฟ่องของเธอนั่นเอง

ชายในสเป็ค Kitty : ชอบผู้ชายที่ใจดีและเป็นมิตร รักครั้งแรกของ Kitty ก็คือ Dear Daniel และเมื่อ Dear Daniel ได้เดินทางไปอยู่กับครอบครัวของเขาที่แอฟริกา Kitty ก็ได้หันมาคบกับ Tippy หมีหนุ่มเพื่อนร่วมชั้น

ความใฝ่ฝัน : นักเปียโน
บุคลิก Kitty :
เป็นแมวน้อยที่ร่าเริง อบอุ่นและใจดี เธอมีฝีมือในการอบคุ้กกี้ที่แสนอร่อยและชอบทาน
พายแอ๊ปเปิ้ลฝีมือของคุณแม่ เพื่อนสนิทของ Kitty ก็คือน้องสาวฝาแฝดของเธอที่ชื่อว่า “Mimmy” นั่นเอง และตั้งแต่คุณพ่อของ Kitty ได้เข้าไปทำงานในนิวยอร์ค เธอจึงมีเท็ดดี้แบร์เป็นเพื่อนอีกมากมาย งานอดิเรกของ Kitty ก็คือการเดินทางท่องเที่ยว อ่านหนังสือ เล่นดนตร
ีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเปียโน
เธอชอบชิมคุ้กกี้ฝีมือการอบของ Mimmy น้องสาว และ Kitty ยังชอบเล่นกีฬาด้วยเช่นกัน เธอโปรดปรานการตีเทนนิส แต่สิ่งที่เธอชอบมากที่สุดก็คือการพบปะผู้คนและทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ก็เป็นเหมือนที่ Kitty บอกกับทุกคนนั่นแหล่ะว่า “ไม่มีวันที่เราจะรู้สึกว่าเรามีเพื่อนมากเกินไป”ด้วยเหตุนี้นี่เอง Kitty จึงกลายเป็นสาวน้อยที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในโรงเรียน

โรงเรียน : โรงเรียนตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางที่มุ่งสู่ลอนดอนห่างจากบ้านของ Kitty 4 กิโลเมตร โรงเรียนของ Kitty นั้นนับได้ว่าเป็นโรงเรียนที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้และแวดล้อมสัตว์ป่าน้อยใหญ่ Kitty และ Mimmy เดินทางไปโรงเรียนด้วยรถเมล์ด้วยกันทุกเช้าซึ่งใช้เวลาในการเดินทางเพียงสามป้ายรถเมล์เท่านั้นคุณครูจะคอยทักทายกับพวกเธอทั้งสองอยู่ที่หน้าโรงเรียนทุกวัน และเป็นที่แน่นอนว่า Kitty และ Mimmy คือสองสาวที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในโรงเรียน



คุณรู้มั้ย?

- Kitty ชอบแปรงฟันด้วยยาสีฟันกลิ่นสตรอเบอร์รี่ เธอห้ามใจแทบไม่ไหวทุกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมหวานของสตรอเบอร์รี่

- Kitty มักจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยจักรยานสามล้อคันเล็กของเธอเสมอ ไม่ว่าจะออกไปเที่ยวเล่นใกล้ๆบ้าน ไปช็อปปิ้ง หรือแม้แต่เวลาที่เธอออกไปเล่นกับเพื่อนๆ

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สตรอเบอร์รี่


มอบผลไม้น่ารักกุ๊กกิ๊ก แทนความรักด้วยโลกสีชมพูกับ "สตรอเบอรี่" ที่จะทำให้ความรักของคุณหวานซ่อนเปรี๊ยว เฉกเช่นสตรอเบอรี่ ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้

สตรอเบอรี่ ในประเทศไทย มีประวัติความเป็นมายาวนาน คือมีการนำพันธุ์เข้ามาทดลองปลูกหลายยุคหลายสมัยทางภาคเหนือ
และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานต้น พันธุ์สตรอเบอรี่ ที่คัดสรรมาแล้วอย่างดี
ได้แก่ พันธุ์แคมบริดจ์แฟเวอริท , พันธุ์ทีโอก้า และพันธุ์ซีควอเอีย
แก่เกษตรกร หรือรู้จักกันในนามพันธุ์พระราชทาน 13, 16 และ
20 ตามลำดับ
"ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน"

จนมาถึงตอนนี้สตรอเบอรี่ กลายเป็นผลไม้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของ
ภาคเหนือ สามารถส่งออกได้ทั้งในลักษณะแช่แข็ง ทำเงินเข้าประเทศได้
อย่างกว้างขวาง ทั้งในรูปแบบรับประทานสดและแปรรูป สร้างรายได้แก่
เกษตรกรอย่างมาก และในแง่โภชนาการแล้ว "สตรอเบอรี่"
ยังมีวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม และที่สำคัญคือมีวิตามินซี จำนวนมหาศาล

โดยในวิตามินซีนั้นมีกรดอินทรีย์สำคัญที่เรียกว่า "กรดแอสคอร์บิก" (ascorbic acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายต่อโรคภัยต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหวัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอยก่อนวัยอันควร

"ต้านอนุมูลอิสระ"

นอกจากสตรอเบอรี่แล้ว ยังมีในผลไม้อีกหลายชนิด เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี บร็อคเคอรี่ และผักขมแล้ว ด้วยผลที่มีสีแดงสดของสตรอเบอรี่ ยังทำให้มีส่วนประกอบของสารสำคัญที่ชื่อว่า แอโธไซ-ยานิน (anthocyanin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ชะลอความเสื่อมของดวงตา

ที่สำคัญคือยังช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษอีกด้วย

ต่อไปนี้โลกสีชมพูของคุณที่เติมเต็มด้วยสตรอเบอรี่ นอกจากจะอิ่มเอมรักแล้วยังสร้างสุขภาพอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วาเลนไทน์


"The course of true love never ran smooth.
But if you can hold to the course,
you can surmount the obstacles that life puts in theway"
"ความรักย่อมมีอุปสรรค แต่อุปสรรคจะทำให้รักเรา มีความหมายมากขึ้น"

เช็กสเปียร์



ประวัติวันวาเลนไทน์

.. วันวาเลนไทน์ ..


วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด

ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองท่าน นักบุญ วาเลนไทน์ และนักบุญ มาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย

และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์



.. ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..


วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษ

ทำไมจึงมีชื่อว่า “ วันวาเลนไทน์ ” และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?

นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลาย

ครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อย

ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์

ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้

1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต



.. คิวปิด ..


คนทั่วไปรู้จัก คิวปิด ในภาพของเด็กน่ารักที่มีปีก มือถือคันธนูกับลูกศรและมีชื่อเสียงในเรื่องการยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร ศรรักของ คิวปิด หมายถึงความปรารถนาและอารมณ์แห่งความรัก คิวปิด จะเล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกัน
คิวปิดมักจะมีบทบาทในการเฉลิมฉลองความรัก ในกรีกโบราณ คิวปิด เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เอโรส ลูกชาย แอฟโพไดท์ เทพธิดาแห่งความรักและความสวยงามแต่สำหรับพวกโรมัน เขาคือ คิวปิด และแม่ของเขาคือ วีนัส

มีเรื่องน่าสนใจพอสมควรเกี่ยวกับ คิวปิด และ ไซคี เจ้าสาวของเขาในเทพนิยายโรมัน ผมขอแนะนำผู้อ่านให้รู้จักคู่รักของ คิวปิด สักนิดนะครับว่าเธอเป็นเทพธิดารูปงามในนิยายกรีกโบราณมีปีกเป็นผีเสื้อ และเพราะความงามนี้เองที่ทำให้ วีนัส อิจฉา นางจึงได้สั่ง คิวปิด ให้ลงโทษว่าที่ลูกสะใภ้เสีย แต่ คิวปิด ตกหลุมรักเธอเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของแม่ ดังนั้น แทนที่จะลงโทษเธอ คิวปิด กลับเอาเธอเป็นภรรยาเสียเลย แต่เนื่องจาก ไซคี มิได้เป็นอมตะ เธอจึงถูกห้ามมิให้มองเขา (ตรงนี้ผมไม่ทร าบเหมือนกันนะครับว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ได้เธอเป็นภรรยาแล้วภรรยามองไม่ได้ แต่อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เพราะเทพนิยายฝรั่งก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากละครน้ำเน่าบ้านเรา)

หลังจากตกเป็นภรรยาของ คิวปิด แล้ว ไซคี ก็มีความสุขเรื่อยมา (ก็แหงละ) จนกระทั่งพี่สาวของเธอได้รบเร้าให้เธอมอง คิวปิด ทันทีที่เธอมอง คิวปิด คิวปิด ก็ลงโทษเธอด้วยการทิ้งเธอไปทันที พร้อมกันนั้นปราสาทและสวนอันสวยงามของเธอก็ต้องมลายหายไปด้วย หลังจากนั้นไซคี ก็พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทุ่งโล่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆหรือ คิวปิด ปรากฏให้เห็นเลย

ในขณะที่เธอออกเดินทางค้นหาคนรักของเธอนั้น เธอก็มาถึงวิหารของ วีนัส โดยบังเอิญ เมื่อ วีนัส เทพธิดาแห่งความรักพบว่า ไซคี ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ปราถนาที่จะ ทำลาย ไซคี ด้วยการให้งานที่หนักและอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานสุดท้ายที่ ไซคี ได้รับมิใช่งานขับเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดครับ หากแต่เธอได้รับกล่องใบหนึ่งมาและได้ถูกสั่งให้ลงไปยังใต้โลกเพื่อเอา ความงามของ โพรเซอร์พีน ภรรยาของ พลูโต ใส่กล่องใบนี้มา ในระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้น เธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักการหลีกเลี่ยงอันตรายจากอาณาจักรแห่งความตาย นอกจากนั้นแล้ว เธอยังได้ถูกเตือนมิให้เปิดกล่องใบนั้นอีกด้วย แต่เพราะทนไม่ไหวหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ไม่ทราบ เธอได้เปิดกล่องใบนั้น แต่แทนที่จะพบกับความงาม เธอกลับต้องหลับเป็นตาย

ต่อมา คิวปิด ได้มาพบร่างอันไร้ชีวิตของเธอบนพื้นดิน เขาจึงได้นำเอาอาการหลับเป็นตายออกจากร่างของเธอและนำมันไปเก็บไว้ในกล่อง หลังจากนั้น คิวปิด ก็ได้ให้อภัยเธอเช่นเดียวกับ วีนัส เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเห็นความรักที่เธอมีต่อ คิวปิด จึงได้ตั้งให้เธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง

ปัจจุบันนี้รูป คิวปิด แผลงศรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ผู้คนมักนิยมใช้กัน และเมื่อศรรักของ คิวปิด พุ่งโดนหัวใจหนุ่มสาวคนใดในวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวคนนั้นก็จะออกอาการ "สติวปิ้ด" จากศรรักของ คิวปิด ขึ้นมาทันที อาการนี้จะเห็นได้จากการส่งดอกกุหลาบสีแดง ส่งช็อคโกแล็ต การส่งบัตรอวยพรและอื่นๆ อีกครับ

หมายเหตุท้ายบท : "สติวปิ้ด" เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า "โง่" ครับ เหมือนคำบางคำที่เราอาจเคยได้ยินว่า "ความรักบางครั้งก็ทำให้คนตาบอด และ มองไม่เห็นข้อบกพร่องของคนที่เรารัก"



อ่านตำนานของเทพ อีรอส(Eros) หรือคิวปิด(Cupid)ฉบับเต็มได้ที่นี่



.. ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ " ..


มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย


กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
กุหลาบดำ หมายถึง ความรักนิรันดร์
กุหลาบแดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน

กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้

กุหลาบชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพูสามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้

กุหลาบเหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ สนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง

สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง

ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"

ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "

สำหรับดอก forget-me-not มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน

มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้างดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา



จะเห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทนความหมาย แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ... Vlentine นี้คุณมีดอกไม้ในใจที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง


วันวาเลนไทน์ในประเทศญี่ปุ่น วันวาเลนไทน์กับชอคโกแลต ช๊อกโกแล็ต

.. ชอคโกแลตกับวันวาเลนไทน์ ..


ในวันวาเลนไทน์ที่ประเทศญี่ปุ่น ฝ่ายหญิงนิยมที่จะมอบชอคโกแลตให้กับฝ่ายชาย (ส่วนผู้ชายจะมอบของขวัญตอบแทนให้กับผู้หญิงในวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเรียกวันนั้นว่า White Day หรือ วันสีขาว) ความนิยมการมอบชอคโกแลตนั้นเกิดขึ้นมาจากการใช้เครื่องมือทางการตลาดของบริษัทผลิตชอคโกแลต ผู้หญิงญี่ปุ่นถูกกระตุ้นให้บอกรักอย่างชัดเจนกับผู้ชายโดยการมอบชอคโกแลตและของขวัญชนิดอื่นในวันที่ 14 กุมภาของทุกปี

ร้านขายของชำ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อจะขายชอคโกแลตที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ชอคโกแลตที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายชอคโกแลตทั้งปีนั้น จะมาจากช่วงวันวาเลนไทน์ เหตุก็เพราะผู้หญิงแดนอาทิตย์อุทัยจะซื้อชอคโกแลตเพื่อแจกให้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อนชาย พี่ชาย คุณพ่อ สามี แฟน และผู้ชายที่เธอรู้จักและมีความยินดีที่จะมอบให้

ชอคโกแลตที่มอบให้กับผู้ชายที่เธอไม่ได้หลงรัก ถูกเรียกว่า “giri-choco” (แปลว่า ชอคโกแลตที่ให้ตามหน้าที่ หรือ ชอคโกแลตตามมารยาท) เช่น ชอคโกแลตที่มอบให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือกับหัวหน้างานเป็นต้น

ผู้ชายส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายอย่างมาก ถ้าพวกเขาไม่ได้รับชอคโกแลตในวันนี้ ผู้หญิงจึงพยายามมอบ giri-choco กับผู้ชายที่รู้จักทุกคน เพียงเพื่อไม่ให้ผู้ชายต้องมีความรู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่ได้รับการใส่ใจ ราคาโดยเฉลี่ยของ giri-choco ตกประมาณอันละ 100 – 300 เยน

ผู้หญิงบางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะให้ของขวัญพิเศษกับคนที่ตนรัก เช่น เนคไทค์ และเสื้อผ้าควบคู่ไปกับชอคโกแลตด้วย ชอคโกแลตประเภทนี้จะเรียกว่า "honmei-choco." (แปลว่า ผู้ชนะที่คาดหวังไว้ prospective winner) Honmei-choco จะมีราคาที่แพงกว่า giri-choco และบางครั้งจะเป็นชอคโกแลตทำเอง ซึ่งผู้ชายที่ได้รับนั้นถือว่าโชคดีมาก

ชอคโกแลตญี่ห้อดังของญี่ปุ่นได้แก่ Glico, Meiji และ Morinaga แต่ผู้ชายบางคนมักจะพอใจกับชอคโกแลตทำเองมากกว่า เพราะมันจะแสดงออกถึงความตั้งใจของคนทำนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กินดีมีประโยชน์

อาหาร คือ สิ่งที่เรากินได้โดยปลอดภัยและให้สารอาหารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงมีการแบ่งอาหารออกเป็น5 หมู่ เรียกว่า อาหารหลัก 5 หมู่ ได้แก่
หมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นมหมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง น้ำตาล หัวเผือก มันหมู่ที่ 3 ผักใบเขียวและพืชผักอื่นๆหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆหมู่ที่ 5 ไขมันจากสัตว์และพืช
อาหารหมู่ที่ 1 เสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น หมู วัว เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง เครื่องใน เช่น ตับ ปอด หัวใจ ไข่ต่างๆ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่นก ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสงและอาหารที่ทำจากถั่ว นม และผลิตภัณฑ์จากนม ประโยชน์ ช่วยเสริมร้างและซ่อมแซมร่างกาย อาหารทะเลช่วยป้องกันโรคคอพอก เครื่องในเช่น ตับ สร้างและบำรุงโลหิต นมช่วยสร้างกระดูกและฟัน เด็กอยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการอาหารหมู่นี้มาก
อาหารหมู่ที่ 2 ให้พลังงาน ได้แก่ ข้าวต่างๆ เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว แป้งต่างๆ เช่นแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลังและอาหารที่ทำจากแป้ง เช่น ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปัง หัวเผือก มันต่างๆ ประโยชน์ ให้กำลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้มีแรงเคลื่อนไหวทำงานได
อาหารหมู่ที่ 3 ควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติได้แก่ ผักใบเขียวและผักเป็นหัวต่างๆ เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ฟักทอง กระหล่ำหลี มะเขือต่างๆ ประโยชน์ บำรุงสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง บำรุงสุขภาพของผิวหนัง นัยน์ตา เหงือกและฟัน สร้างและบำรุงโลหิต ช่วยให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากอาหารอื่นได้เต็มที่ และมีเส้นใยเป็นกากช่วยให้การขับถ่ายสะดวก
อาหารหมู่ที่ 4 ควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติได้แก่ ผลไม้สดต่างๆ เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม มะม่วง ฝรั่ง สับปะรด ประโยชน์ ช่วยบำรุงสุขภาพและป้องกันโรคต่างๆ ช่วยให้ร่างกายสดชื่น บำรุงสุขภาพของผิวหนัง นัยน์ตา เหงือกและฟัน
อาหารหมู่ที่ 5 ให้พลังงานได้แก่ ไขมันจากสัตว์ เช่น มันหมู มันไก่ ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่ว น้ำมันรา น้ำมันงา กะทิ ประโยชน์ อาหารหมู่นี้ให้กำลังงานสูงและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้มีกำลังเคลื่อนไหวทำงานได้
เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเราต้องกินอาหารต่างๆ ให้ครบ 5 หมู่ ให้ได้สัดส่วนเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายอาหารหมู่ต่างๆ นี้จะกินทดแทนกันไม่ได้ นอกจากจะกินอาหารหมู่เดียวกันทดแทนกันเท่านั้น การรับประทานอาหารเพียงอย่างสองอย่างหรือรับประทานอาหารเฉพาะที่ตนเองชอบเป็นเวลานานๆ จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารอื่นๆ ไปด้วย ดังนั้น การรู้จักเลือกกินอาหารให้ถูกส่วนครบ 5 หมู่ ดังกล่าวนี้จึงเรียกได้ว่ากินอาหารถูกหลักโภชนาการ

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

วันชาติฝรั่งเศสคร้าาา


ค้า....วันนี้ไหนๆก้อมาอัพละ ตามกระแสนิดนึงๆ วันที่ 14 กค. ของทุกๆ ปีเนี่ยเป็นวันชาติฝรั่งเศส แหมสบายเราไม่ต้องไปเรียน 555 แบบว่า นอนตื่นซะสายแต่ก้อทันดูถ่ายทอดสดการฉลองงานวันชาติที่ Champs Elyseé ณ ปารีสอยู่ ดูไป ดูมาก้อคล้ายๆวันพ่อบ้านเราแหละ เนี่ยนะเท่าที่ดูบ้านเราดูดีกว่าเยอะนะ ก้อแหมมม บ้านเรานะมีพระเจ้าอยู่หัวให้เคารพ บ้านเค้าเนี่ย เคารพธงชาติเวลาเพลงชาติออก แต่ก้อว่าไม่ได้เค้าไม่มี king อีกอย่างเนี่ยมันก้อน่าเคารพนะธงชาติบ้านเค้าเนี่ย ก้อสีทุกสีที่มีอยู่ในธงชาติฝรั่งเศสเนี่ยล้วนมีความหมายอันลึกซึ้งแฝงอยู่ คนไหนที่เรียนมาก้อจะรู้ว่ามันสุดยอด ไอ่เราก้อเรียนนะแต่ก้อลืมไปหมด เมื่อวานที่โรงเรียนเลยรื้อฟิ้นให้เลย ก้ออย่างที่รู้ๆกันนะว่า ธงชาติบ้านเค้าสีเหมือนบ้านเราเดี๊ยะๆ น้ำเงิน ขาว และ แดง โดยที่สี น้ำเงินกะแดงเป็นสีที่บ่งบอกความเป็นเมืองหลวงแห่งกรุง ปารีส แต่สีแดงเนี่ย เมื่อก่อนเค้าก้อยกให้เป็นสีแห่งนักปฎิวัติฝรั่งเศสก่อนที่จะมาเปลี่ยนนัยแฝงกันภายหลัง ส่วนสีขาวเนี่ยเป็นสีขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งสีขาวเนี่ยนะยังสื่อให้ผู้คนระลึกถึงจำนวนผู้คนบริสุทธิ์ที่ถูกประหารโดยเครื่องประหารกิโยติล ( Guillontine) ในยุครุ่งโรจน์ของเจ้าใหญ่นายโตทั้งหลายเมื่อปี 1793 นู้นนนนแหละ แหมมม อ่ะนะจะให้มานั่งเจียระไนสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสแต่ละตัวเนี่ยคง 3 วันรวดแหละ เอาเป็นว่า พอรู้ว่า ธงบ้านเค้าเนี่ยไม่ได้หลับตาเลือกๆไปงั้นๆ ถึงกะอึ้งๆๆอ่ะนะไหนๆก้อยาวมาเรื่องธงชาติละ พูดก้อพูดเถอะเมื่อวานเค้าถามว่าที่เมืองไทยเนี่ยวันชาติวันไหนอ่ะ เออ... เด็กยองก้ออ้ำอี้งไม่ใช่ไม่รู้นะแต่ไม่แน่ใจอ่ะ ระหว่างวันพ่อ กะวันรัฐธรรมนูญ เอาล่ะสิเข้าตาจน เอาก้อเอาวะ วันพ่อเนี่ยแหละ เพราะเห็นมีทหารทุกเหล่าทัพมา แหมก้อวันรัฐธรรมนูญไม่มีไรเลยอ่ะ รึเราไม่รู้อ่ะ เอาเป็นว่า แก้หน้าไปพลางๆก้อต้องอธิบายยืดยาวด้วยอ่ะ แหมน้อง ๆพรีเซนต์อ่ะ ว่าก้อว่าเถอะมาเห็นประวัติวันชาติฝรั่งเศสแล้วมันน่าขนลุก ก้อแหมนะกว่าจะได้อิสระเสรีมาเนี่ยก้อผ่านอะไรมาเยอะมากกกก คนเค้าสมัยก่อนเนี่ยสุดยอดเจ๋งจริงๆอ่ะ อ่ะไหนๆก้อไหนๆ เมาท์เรื่องในอดีตหน่อย ก้อแหมจากที่มีลุงๆนักปราชญ์บวกนักคิดทั้งหลายเกิดขึ่น ชาวบ้านชาวเมืองแถบๆเมืองผู้ดีก้อตื่นตัวเรื่องอิสระภาพและทำการปฏิวัติบ้านเมืองเค้าเป็นที่เรียบร้อย ชาวบ้านชาวเมืองชาวฝรั่งเศสก้อมานั่งคิดๆว่า ตูจะทำงั้นมั้งไม่ได้เลยเหรอฟระ แม่งไอ่เจ้าขุนมูลนายก้อกดขี่กูซะไม่พอฆ่าคนเหมือนผักปลา เอาเปรียบสาระพัด เอาไงดีฟระ... ในช่วงรอยต่อเนี่ยแหละ ถูกแรงหนับหนุนจาก ลุงวอร์แตร์ ลุงรุสโซ ที่บอกว่า มนุษย์ทุกนายที่เกิดมาเนี่ยมันเท่าเทียมก้านนน เอาล่ะสิขนาดนักปราชญ์ที่เปรียบเสมือน นักวิชาการระดับสูงออกมาประกาศโทงๆเงี้ย อยู่เฉยได้ไง เอาวะเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายเรามาปฏิวัติบ้านเมืองเรากัน การปฏิวัติจึงเริ่มขึ้นที่ นครปารีส ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1789 โดย ณ ตอนนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ปกครองอยู่ และกำลังเลือกเหล่าทหารกล้ามาประจำการในจำนวนที่เพิ่มขี้น แต่ในเช้าวันที่ 14 กค.1789 ก้อมีเหตุการณ์เขย่าขวัญพระเจ้าหลุยส์ขี้น เมื่อคุกไฮโซบาสติลย์ ( La Prise De La Bastille) (ที่ว่าไฮโซเนี่ยก้อเล่นขังแต่พวกหัวกะทิอ่ะนะ) เกิดแตกขี้น ด้วยแรงกดดันมหาศาล ชาวบ้านชาวเมืองเลยเกิดลุกสู้ บทสรุปคือคนหมู่มากต้องชนะเด่ ก้อชาวบ้านมีตั้งเท่าไหร่ แล้วเค้าก้อพากันเดินตามถนน Champs de Mars ก้อ Champs Elyseé เนี่ยแหละถูกสร้างเพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนใจ และก้อได้ประกาศคำ 3 คำขี้นมาว่า นับแต่นี้ไป ฝรั่งเศสจะมีแต่ " Liberté, Egalité, Fraternité" หรือ "เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาค" วู้...............เกิดขึ้น ระบบเจ้าขุนมูลนาย พระมหากษัตริย์ก้อยุติลงด้วยประการฉะนี้แล เห็นเงี้ยนะมิน่าเค้าชาตินิยมอ่ะ ก้อแหมมันก้อ ฝีมือล้วนๆไม่พอสร้างนัยแฝงทุกอย่างเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนทุกหมู่เหล่าซึมซับ ความหาญกล้าของคนในอดีต และกว่าจะเป็นฝรั่งเศส เห็นงี้แล้วเสียดายบ้านเราอ่ะ ได้ซักครี่งเนี่ยสุดยอด ไม่พอนะเค้าก้อสัญลักษณ์ของชนะและอิสรภาพผ่านทางภาพวาดของสาวสวยยืนบนหนุ่มๆ และถือธงชาติฝรั่งเศส ซึ่งถูกเรียกว่า " Marianne" แหมมม เล่นเอาซึ้งงงงง ไม่ให้ซึ้งได้ไงหล่ะ ที่ไหนๆเค้าก้อให้ผู้ชายเป็น พระเอก แหมก้อที่นี่แหละ นางเอกตลอดกาล แถมยืนบนกองผู้ชายด้วยย แหมมม อ่ะนะตอนนี้เลยเป็นว่า ป้ามาเรียเนี่ยสิงสถิตอยู่ทุกที่ไม่ว่าเป็นแสตป์ เหรียญ รูปปั้น และอื่นๆ วกกลับมาการเฉลิมฉลอง เค้าจะจุดพลุฉลองกันคืนก่อนวันที่ 14 แหมมีรีจะพลาด ไอ่เราก้อไปแจมดูบ้านเค้าเมืองเค้า ขอบอกว่างามมากกกกกก 20 นาที พลุแปดแสนอย่าง โอ้วววว ลอยกระทงก้อลอยกระทงเหอะ เจออลังเงี้ย จ๋อยอ่ะ แหมนะจะว่าไปนะบ้านเราก้อใช่ย่อยซะที่ไหน เราก้อไม่ใช่ขี้เรื่องการปฏิวัติไรเนี่ย เสียอย่างเดียวเราไม่ปลูกฝังลูกหลานตั้งแต่เด็ก แต่ก้อนะไม่มีอะไรสายเกินแก้ ถ้าเริ่มวันนี้ อิอิอิ แหมจบดีกว่า แบบว่า ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คิดอยู่ใครจะมาอ่านของตูฟระ

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551


ครัวซองร้อนๆๆมาฝากค่ะ


ไม่ได้ทำเอง แต่แปลมาให้นะคะ ภาษาอาจจะไม่สวยงามเหมือนนักแปลทั่วไป ต้องขออภัยด้วยนะคะ เพราะนู๋กี้ไม่ใช่นักแปลค่ะแค่มือสมัครเล่น เห็นสูตรอาหารฝรั่งที่ หลายเวปแจกฟรี นู๋กี้ก็อยากแปลมาฝากเพื่อนๆๆเด็กอิ้ง-ฟร็องเซ่ค่ะ จะให้ทำทุกเมนูนู๋กี้คงทำไม่ไหว ก็เลยถือโอกาสมีแปลให้เพื่อนๆๆค่ะ และเป็นการฝึกภาษาอังกฤษของตัวเองไปในตัวค่ะ


ส่วนผสม



1. แป้งทำขนมปัง 1 กก.

2. เนยไม่เค็ม 450 กรัม

3. เกลือหยิบมือ

4. น้ำเปล่า ผสมนม 570 มล.

5. easy bake yeast 2 ซอง

6. ไข่ 1 ฟองสำหรับทำก่อนอบ



วิธีทำ



1. เตาอบ 200C/400F/Gas 6.


2. ร่อนแป้งใส่ถ้วยใบใหญ่,ตัดเนยเป็นชิ้นเล็ก และใส่เกลือ,ใส่ยีสต์ผสมกับน้ำและนม ผสมให้เข้ากัน นวดแป้งโดว์ ก่อนนวดต้องแป้งโรยก่อน เพราะจะเหนียวมาก


3.นวดแป้งใช้ไม้ คลึงแป้งออกมา ขนาด 30คูณ 20 ซม หรือ 12 คูณ 18 นิ้ว.แล้วพับแป้งเข้ามากัน พับ 3 รอบ หรือ 3 ชั้นนั่นเองค่ะ หลังจากนั้นใส่ถุงพลาสติก มัดให้แน่น พักแป้งไว้ 30 นาทีค่ะ และคลึงแป้งเหมือนเดิม ทำแบบเดิม และใส่ถุงพลาสติกพักไว้ 30 นาที และทำอีกครั้ง ใส่ถุง มัดให้แน่นแช่ตู้เย็น 1 ชม.


4.เอาแป้งออกจากตู้เย็น และคลึงใหัได้ขนาด 50 คูณ 30 ซม.หรือ 24 คุณ12 นิ้ว ตัดแป้งเป็นสองส่วน และ แต่ละส่วนตัวดให้เป็นชิ้นเล็ก ได้ 12 ชิ้น (ตัดเป็นสามเหลี่ยม) ม้วนจากฐาน จนมาถึงปลาย วางที่ถาดอบ ใช้ไข่ ทาให้ทั่วตัวครัวซอง เข้าเอา 20 นาทีหรือจนเหลืองทอง



และนี่ก้อคือการทำครัวซองค่ะ ถ้าเพื่อนๆคนไหนก้อตามที่ว่างก้อน่าจะลองทำกินที่บ้านกันนะคะ




วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ช็อคโกแลต หวานๆ ขมๆ ผสมทั้งประโยชน์-โทษ

"ช็อคโกแลต" ของหวานยอดนิยมตลอดปีไม่มีตกยุค โดยเฉพาะเทศกาลแห่งความสุขทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ หรือวาเลนไทน์ ใครๆ ต่างก็นิยมลิ้มรสหอมละมุนหวานละไมของช็อคโกแลตเป็นการใหญ่ แม้ความขมของโกโก้ที่ซ่อนอยู่ในความหวานของช็อคโกแล็ตมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราอยู่ไม่น้อย แต่หากบริโภคอย่างไม่บันยะบันยังส่งผลร้ายให้ร่างกายก็เป็นได้ เทศกาลแห่งความสุขเริ่มขึ้นทีไร สารพัด "ช็อคโกแลต" ต้องเข้าไปมีเอี่ยวด้วยทุกที แต่เพราะความหวานจับจิตของน้ำตาลและความมันเนยของนมที่ผสมผสานกับโกโก้ ทำให้หลายคนพรั่นพรึงกับโรคอ้วนมากกว่าจะนึกถึงคุณประโยชน์อื่นที่ซุกซ่อนอยู่ในช็อคโกแลต ซึ่งนักวิทยาหลายสำนักที่สนใจค้นหาความลับของช็อคโกแลตก็พบว่าในขนมหวานสีน้ำตาลดำชนิดนี้มีคุณค่านานาแฝงอยู่ในความอร่อยสุดลึกล้ำ เมล็ดโกโก้ (cacao) เป็นส่วนประกอบหลักที่ถูกปรุงแต่งด้วยนม น้ำตาล และส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในรสชาติให้กับนานาช็อคโกแลต แต่ที่รู้จักกันดีก็มีช็อคโกแลตนม (milk chocolate) หวานมันกลมกล่อม, ช็อคโกแลตดำ (dark chocolate) เข้มเต็มรสชาติโกโก้ และ ช็อคโกแลตขาว (white chocolate) ที่มีแต่โกโก้บัตเตอร์ (cocoa butter) หรือไขมันโกโก้ แต่ไม่มีเนื้อโกโก้ (cocoa solids) นอกจากรสชาติหอมหวานชวนลิ้มลองแล้ว ช็อคโกแลตยังมีเสน่ดึงดูดเหล่านักวิจัยให้ค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอร่อยนี้มานานนับพันปี ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่มากมายในเมล็ดโกโก้ เป็นยาวิเศษขนานหนึ่งที่ทำให้คนที่กินช็อคโกแลตอยู่ห่างไกลจากโรคหัวใจและมะเร็งได้ ซึ่งศาสตราจารย์โรเจอร์ คอร์เดอร์ (Roger Corder) นักวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ วิจัยแล้วพบว่าในช็อคโกแลตดำมีสารโกโก้ฟาโวนอยด์ (cocoa flavonoids) สูงกว่าช็อคโกแลตอื่นๆ สารโกโก้ฟาโวนอยด์ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดให้ยืดหยุ่นและแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน ความดันโลหิตสูง และหัวใจวาย นอกจากนี้ในช็อคโกแลตยังอุดมด้วยกรดอะมิโนทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งใครก็ตามที่กินช็อคโกแลตเข้าไป ทริปโตแฟนจะไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข "เซโรโทนิน" (serotonin) ออกมาละลายความตึงเครียดให้มลายหายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกสุขสดชื่น งานวิจัยของศาสตราจารย์คาร์ล คีน (Prof. Carl Keen) และคณะจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในเมืองดาวิส (University of California at Davis) สหรัฐฯ ทดลองให้อาสามัคร 30 คน ดื่มเครื่องดื่มทุกชนิด ได้แก่ น้ำ, โก้โก้ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน โดยดื่มครั้งละ 1 ชนิด ในช่วงเวลาต่างกันตามที่กำหนด และต้องเจาะเลือดออกมาตรวจทุกครั้งทั้งก่อนและหลังดื่ม พบว่าทุกครั้งหลังจากดื่มโกโก้ เกร็ดเลือด (Platelet) ของอาสาสมัครทุกคนจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนน้อยกว่าเมื่อดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนชนิดอื่น แสดงว่าโกโก้สามารถป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มจนทำให้เส้นเลือดตีบตัน จึงช่วยลดภาวะเส้นเลือดอุดตันและสดความเสี่ยงหัวใจวายกระทันหันได้ ส่วน ดร.ไบรอัน เราเดนบุช (Dr. Bryan Raudenbush) จากมหาวิทยาลัยวีลลิง เยซูอิต (Wheeling Jesuit University) เวสต์ เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ เปิดเผยความลับของช็อคโกแลตว่าเป็นแหล่งของสารกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่กินชอคโกแลตเข้าไป เช่น ทีโอโบรมีน (theobromine), ฟีนีไทลามีน (phenethylamine) และคาเฟอีน (caffeine) ดร.เราเดนบุช ทดลองใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วัดการสั่งงานของสมองและทดสอบปฏิกิริยาต่างๆ ของอาสาสมัครที่กินช็อคโกแลตดำ, ช็อคโกแลตนม เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้กินอะไรเลย ก็พบว่ากลุ่มที่กินช็อคโกแลตมีปฏิกิริยาตอบสนองดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่มที่กินช็อคโกแลตนมจะตอบสนองในส่วนของความจำได้ดีกว่ากลุ่มอื่น นี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของงานวิจัยมากมายที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของช็อคโกแลต และคงทำให้หลายคนที่พิศมัยในความหอมหวานของช็อคโกแลตรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าขนมหวานสุดโปรดปรานนี้ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยอย่างเดียว แต่ยังมากคุณค่าของสารสำคัญที่มีประโยนช์ต่อร่างกายและป้องกันโรคภัยหลากชนิด แต่ช้าก่อน! อย่าเพิ่งด่วนดีใจจนโหมกินช็อคโกแลตต่างข้าวเด็ดขาด เพราะช็อคโกแลตที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะถูกหรือแพง ล้วนมีไขมันและน้ำตาลเป็นตัวชูโรงร่วมกันกับโกโก้ ซึ่งหากบริโภคอย่างไม่มีขีดจำกัด มีหวังประโยชน์ของช็อคโกแลตคงจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นโทษเสียมากกว่า เพราะไขมันและน้ำตาลที่ช่วยเพิ่มความอร่อยในช็อคโกแลตอาจกลายเป็นส่วนเกินเมื่อเข้ามาอยู่ในร่างกายของเราดังที่ทราบกันดีว่าจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ทดลองให้กลุ่มบุคคลที่แข็งแรงแต่สูบบุหรี่กินช็อคโกแลตต่างชนิดกันเป็นประจำทุกวัน วันละ 40 กรัม ติดต่อกันในระยะเวลาที่กำหนด และควบคุมไม่ให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอาหารอื่นๆเลย กลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตัน แต่ภายหลังการทดลองทีมวิจัยพบว่ากลุ่มที่กินช็อคโกแลตดำ ซึ่งมีเนื้อโกโก้อยู่ 74% มีระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ส่วนกลุ่มที่กินช็อคโกแลตขาวกลับไม่มีผลอันใดเลย พวกเขาจึงสรุปว่า กินช็อคโกแลตดำวันละนิดช่วยให้จิตผ่องใสและห่างไกลจากโรคภัยได้ ดังนั้น หากจะกินช็อคโกแลตแล้วให้ได้ประโยชน์มากกว่าโทษ ก็ควรจะเลือกช็อคโกแลตที่มีส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลต่ำแต่มีปริมาณโกโก้สูง นัยหนึ่งก็หมายถึง "ช็อคโกแลตดำ" นั่นเอง ซึ่งปริมาณโกโก้มากกว่าเป็นเครื่องการันตีว่าจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่าด้วย โดยเฉพาะฟลาโวนอยด์ที่มีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ถ้ากินช็อคโกแลตดำวันละ 100 กรัม เป็นประจำทุกวัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้ แต่หากเป็นช็อคโกแลตนม ช็อคโกแลตขาว หรือเครื่องดื่มช็อคโกแลตดำแต่มีส่วนผสมของนมอยู่ด้วย จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพลดน้อยลงตามส่วนผสมของโกโก้ที่ลดลงหรือนมและน้ำตาลที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยอัลคาไล (alkali) สารฟลาโวนอยด์ส่วนใหญ่ก็จะถูกทำลายไปด้วย แม้ว่าในช็อคโกแลตจะอุดมไปด้วยไขมัน แต่ 2 ใน 3 ของไขมันที่มีอยู่ในช็อคโกแลตเป็นไขมันอิ่มตัวที่เรียกว่า สเตียริก (stearic acid) และไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งชนิดโอเลอิก (oleic acid) ซึ่งสเตียริกนี้จะไม่ไปช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL cholesterol) ในกระแสเลือด ฉะนั้นจึงหมดห่วงไปได้อีกเปราะหนึ่ง แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีไขมันอีก 1 ส่วนที่อาจไม่เป็นผลดีกับร่างกาย ดังนั้นเมื่อกินช็อคโกแลตแล้วก็ต้องกินอาหารอื่นที่มีประโยชน์ สามารถลดการสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีได้ รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมกันให้ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี